ในยุคเศรษฐกิจที่ผันผวนอย่างทุกวันนี้ หลายคนต้องแบกรับภาระหนี้สินจากสินเชื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อส่วนบุคคล และเมื่อผ่อนชำระไปสักพัก หลายคนอาจเริ่มตั้งคำถามว่า "สามารถรีไฟแนนซ์สินเชื่อที่ยังผ่อนไม่หมดได้ไหม?" คำตอบคือ ได้ และนี่อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยลดภาระทางการเงินของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความนี้จาก มันนี่ฮับ จะพาคุณไปเข้าใจว่า รีไฟแนนซ์สินเชื่อคืออะไร, สามารถทำได้ในกรณีใด, และควรพิจารณา ข้อดี-ข้อเสีย อย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด ก่อนตัดสินใจดำเนินการ
รีไฟแนนซ์สินเชื่อคืออะไร?
รีไฟแนนซ์ (Refinance) คือการขอย้ายหนี้สินเชื่อเดิมที่ยังผ่อนไม่หมด ไปยังสถาบันการเงินแห่งใหม่ หรือแม้แต่ในสถาบันเดิมแต่เปลี่ยนเงื่อนไขการกู้ใหม่ เพื่อให้ได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่า เช่น ดอกเบี้ยถูกลง, ระยะเวลาผ่อนนานขึ้น หรือยอดผ่อนต่อเดือนลดลง
ตัวอย่างประเภทสินเชื่อที่สามารถรีไฟแนนซ์ได้
- สินเชื่อบ้าน
- สินเชื่อรถยนต์
- สินเชื่อส่วนบุคคล
- บัตรเครดิตและสินเชื่อเงินสดหมุนเวียน
แม้คุณจะยังผ่อนไม่หมด แต่หากมีวินัยในการชำระเงินดี และคุณสมบัติครบถ้วน ก็สามารถยื่นขอรีไฟแนนซ์สินเชื่อได้เช่นกัน
เมื่อไหร่ควรรีไฟแนนซ์สินเชื่อ
การรีไฟแนนซ์ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำตลอดเวลา เพราะมีต้นทุนแฝงและผลกระทบระยะยาว ดังนั้นคุณควรพิจารณารีไฟแนนซ์เมื่อ
- ดอกเบี้ยสินเชื่อเดิมสูงกว่าตลาดมาก
- มีข้อเสนอรีไฟแนนซ์ที่ดีกว่า เช่น ดอกเบี้ยคงที่ต่ำกว่า หรือฟรีค่าธรรมเนียม
- ต้องการลดค่างวดรายเดือน
- สถานะการเงินเปลี่ยนไป เช่น ต้องการลดภาระรายจ่ายหลังมีเหตุจำเป็น
- ใกล้ครบช่วงดอกเบี้ยพิเศษของสินเชื่อเดิม (เช่น โปรโมชัน 3 ปีแรก)
ขั้นตอนการรีไฟแนนซ์สินเชื่อ
- ตรวจสอบภาระสินเชื่อเดิม ตรวจสอบยอดคงเหลือ ดอกเบี้ย และเงื่อนไขการปิดบัญชี
- เปรียบเทียบข้อเสนอจากสถาบันการเงิน ดูทั้งอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และโปรโมชันต่างๆ
- คำนวณความคุ้มค่า ว่าเมื่อเปลี่ยนแล้ว ค่าผ่อนต่อเดือนลดลงเท่าไร และคุ้มกับค่าธรรมเนียมหรือไม่
- เตรียมเอกสารและยื่นคำขอ ยื่นเอกสารเช่นเดียวกับการขอสินเชื่อใหม่
- เซ็นสัญญาและปิดสินเชื่อเดิม เมื่อได้รับอนุมัติ ธนาคารใหม่จะชำระหนี้เก่า และเริ่มผ่อนกับธนาคารใหม่แทน
ข้อดีของการรีไฟแนนซ์สินเชื่อ
- ลดภาระดอกเบี้ย รีไฟแนนซ์ไปยังแหล่งสินเชื่อที่ดอกเบี้ยต่ำกว่า จะช่วยให้คุณประหยัดดอกเบี้ยได้ในระยะยาว บางกรณีอาจลดลงได้หลักแสนบาท
- ลดค่างวดรายเดือน ด้วยการปรับเงื่อนไขให้ผ่อนระยะยาวขึ้น หรือดอกเบี้ยต่ำลง ทำให้คุณมีเงินเหลือใช้มากขึ้นในแต่ละเดือน
- ปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะกับสถานะการเงิน เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ และต้องการกระจายความเสี่ยงด้านการเงิน
- รวมสินเชื่อหลายรายการเป็นหนี้ก้อนเดียว ในบางกรณีสามารถรวมหนี้สินเชื่อหลายก้อน เช่น บัตรเครดิต + สินเชื่อส่วนบุคคล มาไว้ในที่เดียว ลดความยุ่งยากในการชำระหนี้
ข้อเสียและสิ่งที่ควรระวัง
- ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์ เช่น ค่าปรับการปิดบัญชีก่อนกำหนด, ค่าประเมินราคาทรัพย์, ค่าจดจำนอง, ค่าทนาย ฯลฯ รวมแล้วอาจเป็นหมื่นบาท
- กระทบต่อเครดิตบูโร หากมีประวัติผิดนัด หรือมีการขอสินเชื่อหลายครั้งในช่วงสั้นๆ อาจมีผลกระทบต่อคะแนนเครดิต
- ยืดเวลาชำระหนี้มากขึ้น แม้ค่างวดจะลดลง แต่หากระยะเวลาผ่อนนานขึ้น คุณอาจจ่ายดอกเบี้ยรวมมากกว่าสินเชื่อเดิมในระยะยาว
- อาจถูกปฏิเสธการอนุมัติ โดยเฉพาะในกรณีที่มีประวัติการเงินไม่ดี หรือมีรายได้ไม่มั่นคง
ควรรีไฟแนนซ์สินเชื่อหรือไม่? คำถามชี้ชะตา
- ยอดหนี้คงเหลือเท่าไร?
- ดอกเบี้ยเดิมเทียบกับข้อเสนอใหม่ต่างกันมากไหม?
- ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์คุ้มค่าหรือไม่?
- เป้าหมายของคุณคืออะไร? ลดค่างวดหรือลดระยะเวลา?
- สถานะการเงินของคุณรองรับเงื่อนไขใหม่ได้หรือไม่?
หากคำตอบชี้ไปที่ความคุ้มค่าและลดภาระการเงินอย่างยั่งยืน การรีไฟแนนซ์อาจเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ
สรุป: รีไฟแนนซ์สินเชื่อที่ยังผ่อนไม่หมด "ทำได้" แต่ต้องคิดให้รอบคอบ
การรีไฟแนนซ์สินเชื่อถือเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ หากใช้อย่างถูกจังหวะและมีการวางแผนอย่างรอบคอบ แม้ว่าจะยังผ่อนไม่หมด แต่หากคุณมีประวัติเครดิตดี รายได้มั่นคง และมีเป้าหมายที่ชัดเจน รีไฟแนนซ์อาจช่วยให้คุณคลายภาระทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้ก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์สินเชื่อ ควร เปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายธนาคาร และ ใช้เครื่องคำนวณรีไฟแนนซ์ออนไลน์ เพื่อดูความคุ้มค่าในระยะยาว ที่มันนี่ฮับ เรามีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ และผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาแบบเข้าใจง่าย ไม่มีค่าใช้จ่ายสนใจรีไฟแนนซ์สินเชื่อ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line ID : @moneyhub