นักเทรดควรรู้ ทฤษฎี Dow Theory คืออะไร

336 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ทฤษฎีdow theory

   ถ้าจะกล่าวถึงเมื่อราวๆ 100 ปีก่อน เราจะคิดถึงอะไรได้บ้าง?  แน่นอนว่า ระยะเวลาที่นานขนาดนั้น ย่อมจะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นมา เช่น การเกิดและสิ้นสุดของสงครามโลก การกำเนิดทฤษฎีสำคัญๆที่หลากหลายจากหลายๆวงการ รวมทั้ง Dow Theory ซึ่งเป็นงานเขียนของ Charles H. Dow ที่ว่าด้วยการเทรด แต่ทว่าน่าเสียดายเขาไม่ได้อยู่ชื่นชมความสำเร็จของงานเขียน ที่กลายมาเป็นทฤษฎีสำคัญที่นักเทรดทั่วโลกจำเป็นจะต้องรู้เอาไว้เพราะเสียชีวิตไปเสียก่อน

   จนในปี 1932 ผู้ที่มาสานต่อแนวคิดของ Charles Dow จนกลายเป็นทฤษฎีที่เป็นจริงเป็นจัง นำมาใช้ในทางปฏิบัติจนนำมาใช้จริงๆและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายคือ Robert Rhea ถือว่าเป็นทฤษฎีที่ค่อนข้างจะเก่าแก่กันเลยทีเดียว


คำอธิบายง่ายๆ ว่า ทฤษฎีดาว Dow Theory คืออะไร

   คราวนี้ก็มาเข้าเรื่องกันเลยว่า ทฤษฎีดาว หรือ  Dow Theory คืออะไร ซึ่งด้วยความเป็นมาของทฤษฎีนี้ที่ค่อนข้างเกิดมาอย่างยาวนาน จึงนับว่าเป็นผลงานชิ้นแรกๆที่อธิบายถึงความเคลื่อนไหวของแนวโน้มทางการตลาดในช่วงเวลาที่เรากำลังสนใจอยู่ ซึ่งครอบคลุมเรื่องเกี่ยวกับพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค นับเป็นองค์ความรู้ที่ขาดกันไม่ได้เลยสำหรับนักเทรดและนักลงทุนทุกสายทุกรูปแบบ

   Trader ในโลกยุคปัจจุบันนี้ อาจจะไม่ใช่เป็น Trader มืออาชีพกันทั้งหมด แต่ยังมีมือใหม่ที่อาจจะยังไม่เข้าใจหลักการที่แท้จริงของทฤษฎีนี้กันอยู่ แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะจำเป็นในการเทรดก็ต้องมาทำความเข้าใจกันไว้ก่อน

ทฤษฎี Dow ถือเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่ Charles Dow ได้สังเกตคลื่นในทะเล และพบว่า ในช่วงน้ำขึ้น คลื่นที่ซัดเข้ามา จะมีความสูงกว่าคลื่นลูกก่อนหน้าเสมอ แต่ในช่วงน้ำลง คลื่นที่ซัดเข้ามาก็จะมีระดับที่ต่ำลง ลดหลั่นกันไปเรื่อยๆ ซึ่งก็เปรียบเทียบกับแนวโน้มของตลาดหุ้น ถ้าเป็นขาขึ้น ก็จะมีการปรับตัวไปในทิศทางขาขึ้น และในทางกลับกัน ถ้าเป็นตลาดขาลงก็จะมีทิศทางปรับตัวลงตามไปด้วย ซึ่งอาจจะไม่ได้ขึ้นและลงในแนวเดียว แต่จะหมายความว่า ระยะการขึ้นลงจะเป็นแค่แนวโน้มในระยะหนึ่งเท่านั้น ซึ่งที่กล่าวมา เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของทฤษฎีนี้เท่านั้น

หลักการ 6 ข้อ ของทฤษฎีดาว

    โดยทั่วไป ทฤษฎีดาวนั้น จะมีหลักการสำคัญๆอยู่ 6 ข้อ แต่ก็ต้องบอกกล่าวกันว่า แต่ละแหล่งข้อมูลก็จะกล่าวไม่เหมือนกัน  หรือบางแหล่งก็อาจจะมีการบิดเบือนข้อมูลกันไปเลยก็มี แต่ถ้ามาจากแหล่งข้อมูลที่ถูกต้องก็จะมีใจความที่คล้ายๆกัน กล่าวคือ

ราคาของสินทรัพย์ ได้สะท้อนทุกอย่างออกมาแล้ว

     คำอธิบายง่ายๆคือ สิ่งที่เกิดในอดีต ปัจจุบัน และ(อาจจะ)เกิดขึ้นในอนาคต ก็จะเกิดขึ้นในรูปแบบซ้ำๆ แบบวนเวียน ไม่ว่าจะเป็นข่าวดีและข่าวร้าย ซึ่งก็จะมีสาเหตุจาก
  • อารมณ์ของนักเทรด หรือคนในตลาด
  • อัตราเงินเฟ้อ
  • การประกาศรายได้
  • อัตราการแลกเปลี่ยน

      สิ่งที่กล่าวมานี้ก็จะสะท้อนออกมาในรูปแบบของราคา

ตลาดจะมีการเคลื่อนไหว นับได้ 3 รูปแบบ หรือ 3 ระยะเวลา ตามทฤษฎี DOW

  1. Primary Trend หรือแนวโน้มใหญ่ แนวโน้มหลัก ตามแต่นักเทรด จะเรียกแต่ก็มีความหมายเดียวกัน อาจจะมีระยะเวลาของแนวโน้มนี้ ในระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นตลาดกระทิงหรือตลาดหมี สามารถเป็นไปได้ทั้งสองแบบ (Uptrend , DownTrend)
  2. Secondary Trend หรือแนวโน้มกลาง , แนวโน้มรอง เป็นแนวโน้มที่ออกมาสวนทางกับแนวโน้มหลัก อาจจะทำให้มีราคาขึ้นหรือลงจากแนวโน้มหลัก 33%-66% มีระยะเวลา 3 สัปดาห์จนไปถึงหลายเดือนกันเลย
  3. Minor Trend ซึ่งเป็นแนวโน้มย่อย,แนวโน้มสั้นที่จะมีความสัมพันธ์กับแนวโน้มกลาง มีระยะเวลาไม่เกิน 3 สัปดาห์

       สำหรับข้อนี้จะมีความสำคัญมาก ถ้าหากทำความเข้าใจได้แบบตกผลึกแล้วจะมีประโยชน์กับนักเทรดมากทีเดียว

เทรนด์ที่เราสนใจนั้น จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลักๆคือ

  1. ช่วงแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งเป็นระยะที่เทรดเดอร์กำลังเข้าสู่ตลาด จะมีแนวโน้มของตลาดในช่วงขาขึ้นเรื่อยๆแต่ถ้าจะมีขาลงก็จะเป็นขาลงช่วงเล็กๆ ที่จะมีช่วงสูงสุด และต่ำสุด ในช่วงนั้น จะต้องอยู่สูงกว่า จุดสูงและจุดที่ต่ำกว่าที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น
  2. ช่วงแนวโน้มขาลง ก็จะตรงกันข้ามกันกับช่วงแนวโน้มขาขึ้น
  3. แนวโน้มออกข้าง ช่วงนี้จะเป็นแนวโน้มของตลาดที่ไม่ชัดเจนนัก หรือกราฟจะค่อนข้างคงที่ ไม่สวิงไปทางด้านขึ้นหรือลงแบบไม่ชัดเจนนั่นเอง

3 ช่วงสำคัญของแต่ละแนวโน้ม ที่น่าสนใจก็จะได้แก่

  1. ช่วงเก็บของ หรือที่เรียกกันว่า ช่วงสะสม ช่วงนี้จะมีความผันผวนของตลาดค่อนข้างสูง Volume หรือปริมาณการซื้อขายค่อนข้างจะสูง แต่ราคาจะอยู่ในกรอบที่ชัดเจน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลานาทีทองของนักลงทุนผู้มองเห็นโอกาสที่ชัดเจน จึงจะได้หุ้นตัวนี้ไป แต่นักลงทุนบางคนอาจจะมองว่าช่วงนี้ยังมองภาพอะไรไม่ชัดเจน และอาจจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในช่วงนี้
  2. ช่วงราคาพุ่งขึ้น ราคาของหุ้นในช่วงนี้จะพุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเป็นช่วงที่นักลงทุนสายเทคนิคมักจะพุ่งเข้าซื้อเพราะเป็นช่วงที่มองเห็นตัวกำไรได้อย่างชัดเจน  ถึงแม้จะมีราคาที่ค่อนข้างจะแพงกันไปแล้ว แต่ก็ดีกว่าพลาดขบวนรถไฟกันไป และ Volume ค่อนข้างจะเบาบางกว่าช่วงแรก
  3. ช่วงแจกของ หรือช่วงเลิกเล่น ช่วงนี้ตลาดของหุ้นจะอยู่ในช่วงพีคสุด นักลงทุนในตลาดจะมีแต่อะไรที่ค่อนข้างสดใส แต่ก็จะต้องระวังตัวให้ดี เพราะจะไปตรงกับหลักของนักลงทุนข้อหนึ่งที่ว่ากันว่า  ข่าวร้ายให้รีบซื้อ ข่าวดีให้รีบขาย ใครที่เข้ามาซื้อหุ้นในระยะนี้อาจจะแบกความเสี่ยงบ้างถ้าหากเข้าซื้อในระยะที่ช้าจนเกินไป คนอื่นๆเก็บกระเป๋าหนีกันไปแล้ว และอาจจะทำให้เราอยู่ในภาวะที่ว่า “ติดดอย”  หรือขาดทุนในช่วงนั้นไปเลย

    จากนั้นก็จะเข้าสู่ระยะตกใจ ที่แทบทุกคนจะเห็นว่าตลาดอยู่ในช่วงขาลง และจะทำการเทขายหุ้นในมือออกไปเพื่อเอาตัวรอด และจะเข้าสู่ระยะเก็บสะสมแรง และเข้าสู่ช่วง “เก็บของ” วนเวียนกันไป
ทุกอย่างจะต้องมีความสอดคล้องกัน

     หลักการนี้จะอธิบายง่ายๆคือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตลาดจะต้องมีความมีเหตุและผล สอดคล้อง ไม่ขัดแย้งกัน เช่นการค้าขายดีในช่วงนี้ เศรษฐกิจก็จะดี และการใช้จ่ายก็จะคล่องตามไปด้วย เป็นขาขึ้นที่ชัดเจน แต่ถ้าหากทุกคนมีความตระหนกต่อสถานการณ์บางอย่าง ไม่ยอมออกมาใช้จ่าย เริ่มส่งเงินกู้ไม่ไหว หรือไม่กล้ากู้เงิน  ก็จะกลายเป็นขาลงของเศรษฐกิจ และก่อนจะเกิดอะไรขึ้นมา มันก็มักจะมีสัญญาณออกมาก่อน เพราะตลาดหุ้นนั้นก็จะเป็นกระจกมองสะท้อนของสภาพเศรษฐกิจนั่นเอง


Volume (ปริมาณ) ยืนยันแนวโน้มหรือเทรนด์

    หรือถ้าหากตลาดที่แนวโน้มที่ปรับตัวสูงขึ้น ปริมาณก็จะต้องมีเยอะหรือสูงขึ้นตามไปด้วย


แนวโน้มหรือเทรนด์ จะยังคงอยู่และเกิดอย่างต่อเนื่อง

    จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม หรือมีสัญญาณว่า มีการเปลี่ยนของเทรนด์  ยกตัวอย่าง ว่าอาจจะมีสิ่งรบกวน เช่น ข่าวร้ายๆ ให้ตลาดขาขึ้น กลายเป็นตลาดขาลงโดยฉับพลัน


Dow Theory : ว่าด้วย Cryptocurrency Trading

     ทฤษฎีดาว ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่เรื่องเกี่ยวกับหุ้นเท่านั้น ยังทำการวิเคราะห์สินทรัพย์ต่างๆ และสามารถนำมาใช้กับสกุลเงินดิจิทัลเช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่แล้ว แนวโน้มตลาดคริบโต จะดูกันที่แนวโน้มรอง หรือ Secondary Trend เป็นหลัก ซึ่งจะเป็นเหตุการณ์หรือข่าวสารที่ส่งผลกระทบในระยะสั้นๆ แนวโน้มรองที่ว่านี้จะเป็นโอกาสให้กับนักเก็งกำไรที่มองโอกาสจากความผันผวนของตลาด  แต่ก็ต้องระมัดระวังกันด้วยสำหรับนักลงทุนที่อาจจะทึกทักว่าเป็นแนวโน้มหลักและเสี่ยงเข้าลงทุนจนนำไปสู่การขาดทุนระยะยาวได้เช่นเดียวกัน

บทสรุป

    แก่นความรู้เกี่ยวกับ ทฤษฎีดาว Dow Theory นั้นเป็นหลักการและทฤษฎีพื้นฐานของการลงทุนทางเทคนิค ที่ทุกคนเรียนรู้กันได้ไม่ยากนัก เพราะไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนกลกันจนเกินไปนัก ซึ่งเอาเข้าจริงๆก็จะมีวัตถุประสงค์อยู่ 3 อย่างหลักๆ ก็ต้องน่าทึ่งจริงๆว่าทฤษฎีที่คิดค้นกันมาเป็นร้อยปี แต่บรรดานักลงทุนก็ยังใช้ได้ผลเสมอมาจนใช้กันอย่างแพร่หลายเพราะช่วยให้มุมมองในตลาดค่อนข้างชัดเจนมากขึ้น และทำให้ตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้