ไม่ว่าจะยืมเงินเพื่อน ยืมญาติ หรือกู้จากธนาคาร “สัญญากู้ยืมเงิน” คือสิ่งสำคัญที่หลายคนมองข้ามเพราะคิดว่าไว้ใจกันก็พอแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า ความไว้ใจอย่างเดียวไม่สามารถใช้แทนข้อกฎหมายได้ และหลายครั้งที่เรื่องเงินกลายเป็นปัญหาใหญ่ เพราะไม่มีสัญญารองรับ วันนี้ “มันนี่ฮับ” จะพาคุณไปทำความเข้าใจเรื่องที่ต้องรู้ก่อนเซ็น สัญญากู้ยืมเงิน แบบง่ายๆ อ่านสนุก พร้อมยกตัวอย่างสถานการณ์จริงให้เห็นภาพชัดเจน เพื่อให้คุณกู้ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยไม่ต้องมานั่งปวดหัวทีหลัง!
เริ่มด้วยการทำความรู้จักกับ สัญญากู้ยืมเงิน กันก่อนว่า คืออะไร?
ก่อนจะไปถึงรายละเอียดอื่น เราต้องรู้ก่อนว่า “สัญญากู้ยืมเงิน” คือเอกสารที่ระบุข้อตกลงระหว่าง ผู้ให้กู้ กับ ผู้กู้ ว่าจะมีการยืมเงินกันจำนวนเท่าไหร่ ระยะเวลาในการชำระคืน ดอกเบี้ย (ถ้ามี) รวมถึงเงื่อนไขอื่นๆ เพื่อเป็นหลักฐานทางกฎหมายว่า มีการยืมเงินจริงและสามารถใช้ฟ้องร้องได้ในกรณีที่เกิดปัญหา
9 สิ่งต้องต้องรู้ก่อนเซ็นสัญญากู้ยืมเงิน
- ตรวจสอบชื่อ-จำนวนเงิน-เงื่อนไข ต้องตรงเป๊ะ
ก่อนเซ็นเอกสารใด ๆ ให้คุณดูข้อมูลในสัญญาให้ครบถ้วน เช่น
- ชื่อผู้กู้ และผู้ให้กู้ ต้องเขียนให้ถูกต้อง
- จำนวนเงินที่กู้ และวันที่ให้กู้
- ดอกเบี้ยที่ตกลงไว้ (ควรระบุเป็นตัวเลขและเปอร์เซ็นต์ชัดเจน)
- กำหนดเวลาการชำระคืน: จ่ายเป็นงวด รายเดือน รายไตรมาส หรือแบบรวดเดียว
- เบี้ยปรับหากชำระล่าช้า
ตัวอย่างที่หลายคนมองข้าม
คุณปอเซ็นกู้เงินจำนวน 50,000 บาท ดอกเบี้ย 2% ต่อเดือน โดยคิดว่าจะผ่อนชำระแบบรายเดือน แต่ในสัญญากลับระบุว่า “ครบกำหนดชำระคืนทั้งจำนวนภายใน 3 เดือน” แบบนี้อาจทำให้คุณปอเดือดร้อนเพราะต้องหาเงินก้อนมาคืนทันที - ดอกเบี้ยเท่าไหร่ถึงจะถูกกฎหมาย?
ตาม กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ระบุว่า หากไม่ตกลงเรื่องดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้า ผู้ให้กู้มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยไม่เกิน 7.5% ต่อปี แต่ถ้ามีการตกลงในสัญญา ต้องไม่เกินที่กฎหมายกำหนด เช่น การกู้จากสถาบันการเงินอาจสูงกว่าได้เพราะมีใบอนุญาตถูกต้อง
ถ้าดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด = โมฆะ!
เช่น ถ้าคุณเซ็นสัญญากู้ 10,000 บาท ดอกเบี้ย 20% ต่อเดือน แบบนี้ถือว่าผิดกฎหมาย หากเกิดข้อพิพาทขึ้น ผู้กู้สามารถใช้สิทธิต่อสู้ในชั้นศาลได้ - อย่าเซ็นสัญญาที่เว้นช่องว่าง!
จงจำไว้ว่า “อย่าไว้ใจใคร แม้แต่คนที่คุณสนิท” หากคุณได้รับสัญญาที่ยังไม่กรอกข้อมูลครบถ้วน หรือมีช่องว่างให้กรอกเพิ่มทีหลัง อย่าเซ็นเด็ดขาด! เพราะหากอีกฝ่ายเขียนข้อมูลใหม่หลังจากคุณเซ็นไปแล้ว คุณอาจกลายเป็น “หนี้ที่ไม่เคยกู้” ก็เป็นได้ - ขอสำเนาสัญญาเก็บไว้ทุกครั้ง
หลังจากเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมขอ สำเนา หรือถ่ายรูปสัญญาไว้ในโทรศัพท์หรือแฟ้มเอกสารของคุณเอง เพราะหากเกิดปัญหาภายหลัง คุณจะมีหลักฐานสำหรับต่อสู้ทางกฎหมาย - มีพยานหรือไม่? สำคัญกว่าที่คิด
การกู้เงินที่มีจำนวนมาก ควรมีพยานร่วมเซ็นรับรู้ เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้กับสัญญา หากมีการผิดนัดชำระ พยานสามารถให้ข้อมูลกับศาลได้ และช่วยยืนยันว่าเป็นการกู้จริงไม่ใช่การยืมแบบปากเปล่า - ระวังคำว่า “ค้ำประกัน” และ “ผิดนัด”
หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าการมีคนค้ำประกันจะช่วยให้เราได้กู้ง่ายขึ้น ซึ่งก็ถูกในแง่หนึ่ง แต่ในทางกลับกัน หากคุณผิดนัดชำระหนี้ คนค้ำจะถูกฟ้องร้องและอายัดทรัพย์แทนคุณทันที - สัญญากู้แบบไหนฟ้องร้องได้?
หากคุณกู้เงินเกิน 2,000 บาท สัญญาต้อง ทำเป็นลายลักษณ์อักษร หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ หากไม่มีเอกสาร แม้จะกู้จริง ศาลอาจไม่สามารถรับฟ้องได้ - อ่านให้ครบทุกหน้า อย่าข้ามตัวเล็ก
อย่ามองข้ามตัวอักษรเล็ก ๆ หรือหน้าท้าย ๆ ของสัญญา เพราะบางครั้งสิ่งสำคัญที่สุดซ่อนอยู่ในนั้น เช่น ค่าธรรมเนียมแอบแฝง เงื่อนไขการคิดดอกเบี้ยย้อนหลัง หรือค่าปรับเมื่อปิดยอดก่อนกำหนด - ถ้าไม่มั่นใจ ปรึกษาผู้รู้ดีกว่า
หากคุณรู้สึกว่าสัญญานั้นมีความซับซ้อน อ่านไม่เข้าใจ หรือกลัวถูกเอาเปรียบ ลองปรึกษาทนาย นักกฎหมาย หรือเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคก่อนตัดสินใจ
สรุป การกู้เงินอาจเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต อย่าตัดสินใจด้วยอารมณ์หรือความรีบ
อ่านให้รอบ เซ็นอย่างระวัง ก่อนที่คุณจะเซ็น สัญญากู้ยืมเงิน ทุกครั้ง จงอย่ามองข้ามสิ่งเหล่านี้
- ตรวจสอบชื่อและจำนวนเงิน
- เงื่อนไขดอกเบี้ยและการชำระคืน
- ระวังช่องว่างในสัญญา
- ขอสําเนาเก็บไว้
- มีพยานหรือคนค้ำ
- อ่านทุกบรรทัด แม้แต่ตัวเล็ก ๆ
- ปรึกษาผู้รู้ถ้ายังไม่แน่ใจ
จำไว้ว่า “เงินที่กู้มา อาจเป็นภาระในอนาคต ถ้าคุณไม่อ่านสัญญาให้รอบคอบ”
หากคุณชอบบทความนี้ ฝากแชร์ให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวที่กำลังคิดจะให้ยืมเงิน หรือกำลังจะไปกู้เงินด้วยนะ เพราะ “ความรู้เรื่องสัญญา” คือสิ่งที่ช่วยให้คุณรอดจากปัญหาทางการเงินที่ไม่จำเป็นอย่างแท้จริง!